ประวัติชุดครุย

ตอนนี้เพื่อนๆหลายคนก็เรียนใกล้จะจบแล้ว หลังจากที่เรียนจบก็ต้องรับปริญญา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็อยากจะมีวันนั้นกัน ถ้าพูดถึงงานรับปริญญาก็ต้องนึกถึงชุดครุยใช่ไหมครับ
แล้วเพื่อนๆเคยสงสัยไหมครับว่าชุดครุยที่เราใส่กันตอนงานรับปริญญาเนี่ยมันมีประวัติความเป็นมาอย่างไงกันบ้าง
พอดีผมไปเจอมา…เลยเอามาฝากเพื่อนๆกันเพื่อเป็นเกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆครับ

ครุย เป็นเสื้อคลุมประเภทหนึ่ง มีลักษณะหลวม ยาวถึงเข่าหรือทั้งตัว ใช้สวมหรือคลุมทับด้านนอก ทั้งชายและหญิงในยุโรปใส่ครุยกันมาตั้งแต่ยุคกลางตอนต้นจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันครุยยังคงใช้สวมใส่เพื่อแสดงตำแหน่งฐานะในอาชีพที่มีรากฐานย้อนไปได้ถึงยุคกลาง เช่น ผู้พิพากษา ในวงวิชาการ ครุยยังใช้เพื่อแสดงวิทยฐานะอีกด้วย

ครุยในประเทศไทย
          ในประเทศไทย ครุยเป็นเสื้อคลุมประดับเกียรติยศ สวมทับบนเครื่องแบบเต็มยศตามหน้าที่ในพระราชพิธี ซึ่งมีหมายรับสั่งให้สวมครุย มี 3 แบบคือ ครุยพระราชวงศ์ ครุยเสนามาตย์ และครุยตำแหน่ง

          ครุยพระราชวงศ์ เป็นฉลองพระองค์ครุยสำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ สำหรับฉลองพระองค์ครุยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเรียกกันว่า ฉลองพระองค์บรมราชภูษิตาภรณ์

          ครุยเสนามาตย์ ตามความในมาตรา 5 ของพระราชกำหนดเสื้อครุย (เพิ่มเติม) พุทธศักราช 2457 มีความว่า ผู้ซึ่งจะสวมครุยได้โดยบรรดาศักดิ์นั้น คือ ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงนับตั้งแต่ชั้นทุติยจุลจอมเกล้า หรือจุลวราภรณ์ หรือจุลสุราภรณ์ขึ้นไป

          ครุยตำแหน่ง ตามมาตรา 6 ของพระราชกำหนดเสื้อครุย (เพิ่มเติม) พุทธศักราช 2457 ได้กำหนดว่าผู้ที่จะสวมเสื้อนั้น คือ (ก) ผู้พิพากษาทุกชั้นให้สวมเสื้อครุยในเวลาแต่งเต็มยศทุกเมื่อ (ข) พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้อ่านประกาศหรืออ่านคำถวายชัยมงคลในชั่วเวลาเฉพาะกาล และ (ค) ข้าราชการเข้าในหน้าที่พระราชพิธีอันมีกำหนดให้สวมเสื้อครุย เสื้อครุยเสนามาตย์มี 3 ชั้นคือ ชั้นเอก ชั้นโท และชั้นตรี ได้มีการกำหนดไว้แน่นอนว่าตำแหน่งและยศใดมีสิทธิ์สวมเสื้อครุยชั้นใด

Orange Lover

ส้มนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ประจำฤดูร้อนแล้ว ยังเป็นสีที่ช่วยกระตุ้นความหิวและความอยากอาหารด้วย ไม่เชื่อคุณลองสังเกตง่ายๆ ตามร้านอาหารมักจะใช้ไฟสีส้ม หรือตกแต่งจานด้วยผักผลไม้สีส้มเป็นส่วนใหญ่ นั่นเพราะแสงสีส้มจะช่วยดึงดูดให้อาหารนั้นๆ ดูน่ารับประทานมากขึ้น ในหมวดหมู่ของผักและผลไม้ก็เช่นกัน ผักและผลไม้ที่มีสีส้มล้วนมีที่มาและประโยชน์ที่น่าสนใจไม่แพ้สีอื่นๆ เหมือนกัน

                 
มะละกอ (papaya)  
มะละกอมีต้นกำเนิดมาจากแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แถมถูกขนานนามจากชนพื้นเมืองของที่นั่นว่าเป็น ‘ต้นไม้แห่งสุขภาพ’ หรือชนบางกลุ่ม เช่น ลูกเรือของโคลัมบัสถึงกับเรียกมะละกอว่าเป็น ‘ผลไม้ของนางฟ้า’ เลยทีเดียว แต่สำหรับบ้านเรา มะละกอดิบเป็นอาหารจานโปรดในเมนู ‘ส้มตำ’ ที่ใครๆ ต่างก็ยกนิ้วให้กับรสชาติแซ่บๆ

ในมะละกอนั้นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ‘พาเพน’ ซึ่งสามารถนำมาปรุงเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อย อย่างได้ผลดี ไม่เพียงเท่านี้ น้ำมะละกอยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร การทำงานของลำไส้ก็จะดีขึ้น ช่วยทำความสะอาดไต ทำให้เลือดแข็งตัว และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ ชั้นดีอีกด้วย

Did you know? หญิงชาวจีนกวางตุ้งนิยมรับประทานผลมะละกอดิบกับเนื้อสัตว์ต้มผสมน้ำเพื่อช่วยขับน้ำนม

                                            แคร์รอต (carrot) 

แท้จริงแล้วบ้านเกิดของแคร์รอตอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง ก่อนจะอพยพครอบครัวไปในทวีปยุโรป และเดินทางต่อมาที่ทวีปเอเชียของเราด้วยสรรพคุณชั้นยอด สมัยโบราณแคร์รอตมีเนื้อแข็งและเสี้ยนเยอะเหมือนไม้ เช่นเดียวกับสีของหัวแคร์รอตที่ไล่ตั้งแต่เฉดเหลืองไปจนถึงม่วงเข้ม แต่แคร์รอตสีส้มที่รับประทานกันทั่วไปเป็นแคร์รอตที่เพิ่งจะได้รับการพัฒนาสายพันธุ์เมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง

คุณรู้หรือไม่ว่าสีส้มของแคร์รอตอุดมไปด้วยสารแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่ชื่อเบต้า-แคโรทีนในปริมาณสูงที่สุดในบรรดาผักสีส้มด้วยกัน เมื่อเดินทางเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนสภาพเป็นวิตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสายตา ทำให้มองเห็นในที่มืดและรักษาโรคตาฟางได้ นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระหรือ Antioxidant ซึ่งช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดจากควันบุหรี่และแสงแดดที่แรงจัดได้

Did you know? แคร์รอตเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของชาวอเมริกา ที่นำมาปรุงเป็นยารักษาโรคประสาท โรคผิวหนัง และหืดหอบให้ทุเลาลงได้

แอปริคอต (apricots)

 สีส้มจัดของแอปริคอตนั้นถือว่าสวยที่สุดในบรรดาผลไม้ด้วยกัน หากสุกงอมเมื่อไหร่จะมีรสชาติหวานอร่อยกำลังดี ที่น่าแปลกก็คือหากรับประทานตอนดิบจะมีรสหวาน แต่ถ้าผ่านกระบวนการความร้อนจนสุกได้ที่ก็จะเปลี่ยนจากรสชาติหวานเป็นเปรี้ยว จึงเป็นที่รู้จักันในร้านทำเค้กหรือแยมว่าต้องใช้กับน้ำตาลมาก แต่ฝรั่งยังคงติดใจในรสชาติและสีสันที่น่ารับประทานที่แม้จะนำมาอบหรือเคี่ยวเป็นวันแล้วก็ตาม

สารเบต้าแคโรทีนในแอปริคอตจะช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตาจึงช่วยในการมองเห็นได้ดีขึ้น และสามารถป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ ในผลแอปริคอตตากแห้งจะอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก และวิตามินเอที่ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส

Did you know? นักโภชนาการแนะนำว่าหากรับประทานแอปริคอตได้ในปริมาณ 25 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยรักษาปฏิกิริยาจากสารก่อภูมิแพ้รวมทั้งอาการอ่อนเพลียได้

ส้ม (Orange) 

ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่หากินได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งแบบรับประทานสดหรือคั้นน้ำ ส้มเป็นนางเอกสุดฮอตในเรื่องของวิตามินซี เจ้าวิตามินซีตัวนี้เองที่มีฤทธิ์ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และอัดแน่นด้วยไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่วนกากใยด้านนอก ดังนั้นเวลาทานส้มจึงไม่ควรลอกเยื่อบุผิวขาวๆ ส่วนที่เป็นกากใยออก เพราะกากใยนี้ช่วยในการขับถ่ายได้ดีเชียวล่ะ

นอกจากเนื้อในจะมีประโยชน์แล้ว น้ำมันจากเปลือกส้มที่อยู่ด้านนอกยังกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารเอนโดรฟินในสมอง ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและผ่อนคลายมากขึ้น จากรายงานการวิจัยประเทศญี่ปุ่นค้นพบว่าการรับประทานส้มจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งตับได้ เนื่องจากมีสารยับยั้งอย่างแคโรทีนอยด์บรรจุอยู่ในผลแบบเต็มๆ

Did you know? รับประทานน้ำส้มคั้มสดๆ สักหนึ่งแก้วก่อนอาหารเช้า จะช่วยเติมเต็มวิตามินซีให้ร่างกายได้ตลอดวัน ส่วนสาวๆ ที่กำลังไดเอทควรรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องและไม่อ้วน

ลูกพลับ (persimmon)  

 สำหรับชาวจีนแล้วลูกพลับได้รับการยกย่องว่าเป็นผลไม้สูงค่า และเป็นไม้มงคลที่สื่อความหมายถึงความมั่งมีศรีสุข ด้วยเปลือกผลสีส้มและเหลืองสุกราวกับทอง เปรียบเสมือนเป็นผลไม้ทองคำจากสวรรค์ ชาวจีนจึงนิยมนำมาแลกเปลี่ยนเป็นของกำนัลในเทศกาลต่างๆ

ลูกพลับเป็นผลไม้เนื้อกรอบชวนเคี้ยวที่อุดมด้วยความหวานตามธรรมชาติ มีวิตามินเอและซีสูงมาก ในตัวมันเองนั้นมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดความดัน ห้ามเลือด บรรเทาริ้วรอยจ้ำเลือดเนื่องจาดเกล็ดเลือดน้อยกว่าปกติรวมไปถึงช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากความเย็นและช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายได้ชะงักนัก

Did you know? เมื่อท้องว่างห้ามรับประทานลูกพลับเด็ดขาด เพราะเมื่อไปผสมรวมกับน้ำย่อยแล้วจะทำปฏิกิริยากับกรดจนกัดกร่อนกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเกิดแผลในกระเพาะได้

เห็นประโยชน์ของผักและผลไม้สีส้มกันแล้ว คราวนี้ก็ลองเลือกซื้อหา มารับประทานกัน

ชาเขียว !!!

ชาเขียวดี หรือชาดำดี ชาเขียว ชาดำ ชาเขียว……………อะไรดีกว่ากัน” คงมีเพื่อนๆสับสนว่าเราควรจะเลือกบริโภคชาชนิดไหนดี เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ในความเป็นจริงแล้วทั้งชาเขียว และชาดำที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแต่ได้มาจากต้นเดียวกันนั้นแหละแต่ต่างกันที่ระยะเวลาในการเก็บ ซึ่งแน่นอนชาเขียวจะต้องเป็นใบอ่อนที่แตกยอดใหม่ๆ ส่วนชาดำก็ได้จากใบที่แก่กว่า ชาทั้งสองชนิด เมื่อนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ก็จะมีความแตกต่างกัน

วันนี้ พวกเรา Kittidoggy นำสาระเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับชาเขียวมาบอก เพื่อนๆกันครับ

ชาเขียว ชาดำ  :

สารสำคัญPolyphenols ในกลุ่มของ flavonoids Catchin, epicatechin, epicatechin gallate, proanthocyanidins) Polyphenols ต่ำ คาเฟอีน สูง

กรรมวิธีในการผลิต :  ใช้ไอน้ำในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ในการทำลาย polyphenols
ใช้วิธีอ็อกซิเดชั่น ซึ่งทำให้เอนไซม์ทำงานได้ดีขึ้นเป็นผลใน polyphenols ถูกทำลาย

รสชาติ : จืด มีกลิ่นเหม็นเขียว เข้มข้น มีกลิ่นเฉพาะ รสขม

สี : เมื่อชงกับน้ำร้อนจะให้สีเขียว เมื่อชงกับน้ำร้อนจะให้สีน้ำตาลเข้ม

ประโยชน์ :

Polyphenols ในชาเขียวช่วยในการควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด โดยไปเพิ่มปริมาณของ
HDL ในขณะเดียวกันก็ช่วยละ LDL และไตรกลีเซอไรด์ 1 สารในกลุ่ม polyphenols โดยเฉพาะ epicatechin gallate ที่พบในชาเขียวมีคุณสมบัติต้านสารก่อมะเร็ง (anticarcinogenic) และเชื่อว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้  2 ฤทธิ์ในการต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นของชาเขียว ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจ 3 การใช้สารสกัดจากชาเขียวในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการฉายแสง และเคมีบำบัด จะทำให้เซลล์ปกติถูกทำลายน้อยลง 4

ผลข้างเคียงและข้อห้ามใช้ :

เนื่องจากชาเขียวมีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นอาจพบผลข้างเคียงบ้างในผู้ที่ไวต่อสารคาเฟอีน เช่น เวียนศีรษะ นอนไม่หลับ ปวดท้อง ท้องเสีย หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อย ฯลฯ

กลไกการออกฤทธิ์ :

สารในกลุ่มของ polyphenols โดยเฉพาะ (-) Epigallocatechin gallate (EGCG) มีคุณสมบัติในการต้านการกลายพันธุ์ ของเซลล์ (antimutagenic) ต้านสารก่อมะเร็ง (anticarcinogenic) และต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (antioxidant) โดยสารชนิดนี้จะไปยับยั้งการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

ขนาดรับประทาน :

ชาเขียวชนิดดื่มสามารถดื่มได้วันละ 2-4 ถ้วย ต่อวัน ส่วนสารสกัดจากชาเขียวชนิดแคปซูลหรือเม็ดที่มีจำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีขนาด 250 500 มิลลิกรัมต่อแคปซูล แนะนำให้รับประทานวันละ 1-2 แคปซูล เนื่องจากในปัจจุบันมีกระแสของการนำเอาสารอาหารบางชนิด การนวด การฝังเข็ม สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฯลฯ มาใช้ในการป้องกัน และรักษาโรคต่าง ๆ มากขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจะพัฒนาความรู้ ให้ทันต่อความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น

อย่าลืมแวะมาติชม หรือมีข้อสงสัยหรืออยากรู้เรื่องอะไร ลองเขามาแวะทักทายบอกเล่ากันได้นะครับ

 

รังสีออร่า

ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ น่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับรังสีออร่ากันบ้างแล้ว
แล้วเพื่อนๆเคยสงสัยไหมครับว่ามันเป็นอย่างไง แล้วมันคืออะไร
ว่าแล้วก็มาทำความรู้จักกับแสงออร่ากันเลยดีกว่าครับ…

ความหมายสีของออร่าคือสีของความคิดและอารมณ์
จะมีลักษณะเป็นหมอกไหลปรากฏเป็นหย่อมๆเห็นได้ชัดเจน
บริเวณรอบศีรษะและเหนือบ่าวิธีคิดหารังสีออร่าของตัวคุณ
เพียงคำนวณตามสูตร

 

นำวัน เดือน ปี ค.ศ. ที่เกิด มาบวกกัน
สมมุติว่า เกิดวันที่ 5 เดือนพฤษภาคม
ค.ศ. 1960ก็นำเลขทั้งหมดมาบวกกันคือ 5 + 5 + 1960 =1970
จากนั้นก็แยกตัวเลขออกมาบวกกันอีกครั้งจะได้เป็น 1 + 9 + 7 + 0 = 17
ก็นำมาแยกบวกอีกจนกว่าจะได้เลขตัวเดียวซึ่งก็คือ 1 + 7 = 8

เมื่อได้ผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียวแล้วขอให้ดูว่าตัวเลขที่ได้ตรงกับสีพื้นฐานสีอะไรมีความหมายว่าอย่างไร
แต่ถ้าเลขบวกกันแล้วได้ผลเป็น 11 และ 12 ไม่ต้องแยกบวกอีกเพราะเป็นพวกพิเศษกว่าพวกอื่น

1. สีแดง : ผู้นำ
พวกมีสีแดงเป็นสีพื้นฐาน จะมีความกระตือรือร้น เป็นผู้นำทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศ มีเสน่ห์ พูดจาโน้มน้าว จิตใจผู้อื่นได้ดี เป็นคนสนุกสนาน โอบอ้อมอารี กล้าหาญ คุณวิ่งไม่เร็ว มองโลกในแง่ดี ชอบการแข่งขัน เป็นสีที่นำมาซึ่งความสำเร็จ คุณควรหาอะไร ที่ท้าทายความสามารถทำ ชอบสร้างโครงการท้าทายความสามารถ แต่ต้องพิจารณาให้พอเหมาะสมกับตัวด้วย ข้อเสีย มักจะขี้กังวล ตื่นตระหนก และอาจหลงตัวเอง รวมทั้งอาจจะบ้างานมากไปจนเครียด ควรรู้จักพักผ่อน และคลายความเครียด

2. สีส้ม/แสด : มนุษยสัมพันธ์ดี
คุณเป็นคนอบอุ่น น่าคบ เข้ากับคนง่าย กระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข เป็นสีที่คอบควบคุมกล้ามเนื้อ แต่มีมากไปจะเย่อหยิ่ง ชอบเป็นที่ปรึกษาปัญหา ให้ใครต่อใคร ชอบช่วยเหลือและ ทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ จิตใจสมถะ ชอบปิดทองหลังพระ คุณควรคบกับคน ที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเปรียบคุณ ข้อเสีย ขี้เกียจ ใจน้อย มักถูกคนอื่นเอาเปรียบ

3. สีเหลือง : มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด
คุณเป็นคนคิดอะไรรวดเร็ว มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เข้าสังคมง่ายปรับตัวเก่ง ชอบคุยถกเถียงปัญหา ชอบเรียนรู้ และทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน เป็นคนฉลาด หลักแหลม และเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว มีเมตตารักเพื่อนมนุษย์ เป็นสีคุ้มกันโรคภัย มีพรสวรรค์ด้านการพูด งานที่ทำควรเกี่ยวกับการพูดเป็นสื่อ เช่น ครู เซลล์แมน นักการทูต ที่ปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ต้องใช้คำพูดเป็นหลัก ข้อเสีย จับจด ขี้อาย โกหกเก่ง

4. สีเขียว : รักษาโรค
คุณเป็นคนรักสงบ ละเอียดอ่อน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดี มีพลังจิต ไว้วางใจได้ คุณอาจมีลักษณะภายนอกหงิมๆ หรือเรียบง่าย แต่ส่วนลึกแล้วดื้อน่าดู คุณเป็นพวกสู้งาน หนักเอาเบาสู้ มีความสามารถในการใช้มือ เป็นสีแห่งความสมดุลและปรับตัว ข้อเสีย ดื้นรั้น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

5. สีน้ำเงิน :เป็นได้ทุกอย่าง
คุณเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แม้ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้างแต่ยังยิ้มสู้เสมอ เชื่อมั่นในตนเอง ซื่อตรง พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง แสงออร่าของคุณจึงกว้างและสว่างไสวเสมอ ทำให้กระชุ่มกระชวยดูอ่อนกว่าวัย คุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ปากกับใจตรงกัน รักการผจญภัย มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ชอบพบปะผู้คน และสนใจการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีพรสวรรค์หลายๆ ด้าน ข้อเสีย ชอบทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่สำเร็จสัก อย่างนอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเท้า และขาดความอดทนอีกด้วย

6. สีคราม : มีความรับผิดชอบสูง
คุณชอบงานด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น ชอบรับผิดชอบงาน จิตใจโอบอ้อมอารี เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิตต่างๆ มีความคิดฉลาดล้ำลึกและสร้างสรรค์ นิยมความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง มีมาตรฐานการทำงานสูง จึงมักหงุดหงิดกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ตามมาตรฐานของตนเอง


7. สีม่วง : ฉลาดล้ำลึก และสันโดษ
คุณมีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจในศาสตร์ลึกลับจนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนลึกลับ คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 สูง รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเข้ากับใครไม่ได้ มักมีปัญหาบริเวณท้อง ข้อเสีย มักดูถูกความคิดผู้อื่น และเก็บความรู้สึกมากเกินไป

8. สีชมพู : นักบริหาร นักธุรกิจ
คุณเป็นคนมีความตั้งใจจริง แต่ค่อนข้างดื้อรั้น วางมาตรฐานตัวเองไว้สูง มุ่งมั่นที่จะให้บรรลุเป้าหมายและความสำเร็จ ถ้าคุณรู้ว่าเป็นฝ่ายถูก คุณจะยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ยอมถอย มีพลังที่แจ่มใส รักสงบ เต็มไปด้วยความรัก โรแมนติก อารมณ์ขัน ถ่อมตน ปลอบประโลมคนเก่ง ข้อเสีย มักจะใจคอโลเล
อาชีพของคุณจึงต้องเกี่ยวกับการบริหารและความรับผิดชอบ

9.สีทองเหลือง : นักสังคมสงเคราะห์
คุณเป็นคนอ่อนโยนชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม มีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น จึงถูกเอาเปรียบบ่อยๆ ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง

11. สีเงิน : นักอุดมคติ
คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 มีศักยภาพสูงในหลายๆ ด้าน เต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ชอบฝันหวาน แต่คุณมักจะฝันมากกว่าลงมือทำจริงๆ เป็นคนซื่อสัตย์
มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี ถ้ามุมานะสร้างความฝันให้เป็นความจริงคุณจะไปได้ไกลมากทีเดียว ข้อเสีย ขี้เกียจ และบางครั้งจะเครียดจนใครๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ควรหาเวลาพักผ่อน ฝึกสมาธิ หรือโยคะ

12. สีทอง : ไม่มีขอบเขตจำกัด
คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปาก คุณจะประสบความสำเร็จไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจทำงานหนักเอาเบาสู้ มีเป้าหมาย ในการทำงานที่แน่นอน มีอุดมคติและความสามารถสูง เป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้

เป็นอย่างไงบ้างครับเพื่อนๆได้อะไรกันบ้างครับ…แม่นไหมครับ
ของผมตรงประมาณ 90 เปอร์เซ็นครับ….เพื่อนๆได้อ่ะไรกันบ้างครับ
ลองบอกผ่านทางคอมเม้มมาบ้างนะครับ……

เหนื่อยนักก็พักหน่อย

ช่วงนี้งานเยอะจัง เหนื่อยทุกวันเลยอ่า เพื่อนๆล่ะจ๊ะ งานหนักเหมือนเรารึป่าว เพื่อนๆก็สู้ๆน้าค้า ไฟนอลใกล้เข้ามาอีกแล้ว ไหนจาต้องไปเรียนพิเศษอีก เฮ้อ แล้วก็อย่าลืมหาเวลาพักผ่อนกันมั่งน้า เด๋วจาโทรมเหมือนเรา T^T ฮือๆ สิวขึ้นอีก เง้ออ..กำ

มาล้างพิษกัน !!

ในภาวะปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกกิน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ วันนี้พวกเรา Kittydoggy ขอแนะนำผลไม้ที่ใช้ล้างพิษในร่างกายครับ ผลไม้เหล่านี้หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและราคาไม่แพงด้วยนะครับ


แอปเปิ้ล
เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ


องุ่น
เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

สับปะรด
มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก


มะละกอ มะม่วง แตงโม
ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน

การล้างรถในหน้าฝน

สวัสดีครับเพื่อนๆ….วันนี้พวกเราชาว kittydoggy ก็มีเกล็ดเล็ดเกล็ดน้อยเดี่ยวกับการล้างรถมาฝากครับ
ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงคุ้นเคยกับการล้างรถแบบเก่า…นั้นก็คือมาถึงก็เอาสายยางฉีดน้ำใส่รถให้ทั่วแล้วก็ลงแชมพู
จากนั้นก็ล้างออก….นี่แหละครับสาเหตุที่ทำให้รถเป็นรอยขนแมว เพราะการล้างรถแบบผิดวิธี….
สำหรับหน้าฝนคงจะลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ให้รถเลอะใช่ไหมครับ….งั้นมาลองดูวิธีที้ถูกต้องในการล้างรถหน้าฝนกันดีกว่าครับ

วิธีก็ไม่ได้ยากอะไรเลยครับ….แค่อาจจะเสียเวลามากกว่าเก่านิดหน่อยเท่านั้นเอง
เริ่มด้วยการเอาผ้าที่สะอาดๆไปชุบน้ำให้ชุ่มๆเลยนะครับ…ชุบแล้วไม่ต้องบิดนะครับ
เอาผ้าที่ชุบน้ำชุ่มๆเนี่ยมาเช็ดเบาๆให้ทั่วทั้งคันรถก่อนครับ…เพื่อเป็นการเช็ดสิ่งสกปรกออกไปก่อน
ในการเช็ดก็ควรที่จะเช็ดไปในทางเดียวกันนะครับ…อย่าเช็ดเป็นวงกลมนะครับ
เพราะว่าให้คราบที่เราเห็นเนี่ยมันมีฤทธิ์เหมือนกับเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ
ดังนั้นเวลาที่เราล้างรถเลยโดยไม่เช็ดคราบออกก่อน ก็เท่ากับว่าเราเอาเม็ดทรายเล็กๆไปถูรอบรถครับ
มันก็เลยเป็นสาเหตุให้เกิดรอบขนแมวครับ…

เมื่อเราเช็ดคราบออกหมดแล้วที่นี้เราก็ค่อยล้างรถตามปกติของเราครับ….เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
รถเราก็จะใหม่ สะอาด แล้วก็ไร้ริ้วรอยด้วยครับ
อย่าลืมนะครับ….ลองเอาไปใช้ดูครับ เป็นวิธีง่ายๆสำหรับการล้างรถ
หวังว่าเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยวันนี้ที่พวกเราชาว kittydoggy เอามาเสนอ
คงจะถูกใจเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะครับ…..

6 ทิปส์ จิบกาแฟเพื่อสุขภาพ

อัพเดทความรู้ใหม่ และสลัดความเชื่อเก่าที่ผิดๆ เรื่องกาแฟทิ้ง…เพราะมันให้คุณมากกว่าโทษ ถ้าคุณรู้จักดื่ม และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เราเอามาป่าวประกาศ

 
ไม่จริงว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย

ไม่รู้ใช่มั้ย…กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

ต้องดื่มบ่อยๆ…สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

กาแฟดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร…เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

ระวังไว้นิดก็ดี…องค์ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า
ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

ดีแคฟ…ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

อะไรที่มากหรือน้อยเกินพอดีล้วนมีโทษทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติ
ที่เกินพอดีแล้วจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 247 Free Magazine (เว็บไซต์ http://www.247freemag.com )

 

===> โรคงอน-สาเหตุ-และวิธีรักษา <===

รูปตัวอย่างข้างบน คงไม่มีเพื่อนๆคนไหนอยากจะพบเจอ ใบหน้าที่แสดงอาการแบบนี้ใช่ไหมละครับ ^^
วันนี้พวกเราชาว KittyDoggy มีวิธีแก้มานำเสนอเพื่อนๆกันครับ

“โรคงอน”
เป็นโรคระบาดที่ร้ายแรง
ติดต่ออย่างรวดเร็วขยายตัวเป็นวงกว้างในแนวราบ

ยังไม่พบวัคซีนหรือยารักษา ผู้ป่วยมีอาการ หน้างอ

และบางรายที่อาหารหนักจะมีอาการหน้าดำ

แทรกซ้อนด้วย หูแข็ง ฟังอะไร ขัดหูขัดใจไปหมด
   
ตาขวาง น้ำลายไหลเล็กน้อยพองาม (… จริงอ่ะ)

ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน ว่าผู้ใดนำเชื้อมาปล่อย

โรคนี้ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูง มือไม้สั่น

ผู้ป่วยที่อาการหนักอาจถึงขั้นชักดิ้นชักงอ

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ควรสังเกตอาการผู้ป่วย ว่างอนอยู่ในระดับไหน ถ้างอนน้อยๆ ให้รีบง้อ
ผู้พบเห็นทั่วไปควรเอาใจใส่ต่อผู้ที่ติดเชื้อในระยะเริ่มแรก

จะทำให้อาการไม่ลุกลาม และสามารถรักษาหายได้

สำหรับผู้ป่วยที่อาการหนัก ผู้ง้อ ควรได้รับการฝึกสอนและเป็นผู้ชำนาญ

การง้อเป็นพิเศษ เพราะผู้ป่วยจิตใจอ่อนแอ เปราะบางแตกหักง่าย ต้อง
การความเอาใจใส่ หลังได้รับการรักษาผู้ป่วยที่หายแล้ว ยังสามารถอาการ

กำเริบได้ทุกเวลา ผู้ใกล้ชิดต้องให้ความรักและความเข้าใจ

หากความรักและความเข้าใจลดน้อยลงเมื่อไหร่ อาการงอนจะกำเริบ

หมายเหตุ
พบมากในกลุ่มคนที่มีความสวย และความน่ารัก สำหรับผู้ไม่สวยและไม่
น่ารัก จะเรียกอาการเดียวกันนี้ว่า น่าเบื่อ น่ารำคาญ จะปล่อยไปตามยถากรรม

ไม่มีการปฐมพยาบาลใดๆ ทั้งสิ้น

รูดเสา ยืดหุ่น….!

จากที่ถูกมองเป็น ‘การเต้นระดับโลว์ คลาส’ ด้วยท่วงท่ายั่วยุกามารมณ์ โดยมี ‘เสา’ เป็นอุปกรณ์หลัก แต่ตอนนี้ ‘โพล แด๊นซิ่ง’ ได้ถูกประยุกต์เป็นการเต้นออกกำลังกายในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งสาวๆในกรุงปักกิ่งสนใจไปฟิตหุ่นออกกำลังกาย ด้วยวิธีนี้กันเยอะมากกก!?! 

การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องยาก ที่ “ยาก” น่าจะเป็น การสร้างแรงจูงใจ หรือ ทำอย่างไรให้คนรู้สึก “สนุก “อยากลุกไปออกกำลังกายมากกว่า เสี่ยว หยาน สาวจีนวัย 26 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งเล่าว่า “ฉันเคยไปเข้าคลาสเต้นแอโรบิค แต่สักพักก็รู้สึกเบื่อ ฉันเลยลองไปเต้นระบำรูดเสาดูบ้าง แล้วก็พบว่า มันเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เราได้สังคม ฉันได้พบสาวๆ มากมายที่มาออกกำลังกายที่นี่ และคบกันเป็นเพื่อนสนิท ทั้งมันยังทำให้ฉันรู้สึกเซ็กซี่ด้วย”

จากที่ถูกมองเป็น การเต้นระดับโลว์ คลาส ที่สาวๆ อะโกโก้ เต้นกันตามคลับ ตามบาร์ โดยท่วงท่ายั่วยุกามารมณ์ โดยมี “เสา” บนเวที เป็นอุปกรณ์หลัก แต่ตอนนี้ โพล แด๊นซิ่ง (Pole Dancing) ได้ถูกนำมาประยุกต์เป็นการเต้นออกกำลังกายทั้งในสหรัฐอเมริกา และที่จีน ซึ่งมีข่าวว่า ซิตี้ เกิร์ล หรือ สาวๆ ในกรุงปักกิ่ง สนใจไปฟิตหุ่น ออกกำลังด้วยวิธีนี้กันเยอะ

โหลว หลาน สาวใหญ่วัย 39 ชาวเมืองอี๋ชุน ในมณฑลเจียงซี ซึ่งคุยว่า เธอเป็นคนแรกที่นำการเต้นระบำรูดเสา มาประยุกต์ ดัดแปลง เป็นการเต้นออกกำลังกายในประเทศบ้านเกิดของเธอเล่าว่า เธอได้ไอเดียนี้ หลังจากเดินทางไปเที่ยวที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อปี 2549 แล้วก็ได้ไปเห็นการเต้นระบำรูดเสาที่นั่น!!!

“ฉันเข้าไปเที่ยวที่ผับแห่งหนึ่ง และเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเต้นระบำรูดเสาอยู่บนเวที ฉันคิดว่า มันสวยงามมาก” จากความรู้สึกแวบแรกตอนนั้น ก็ได้ทำให้ โหลว หลาน สาวใหญ่ที่เคย “เปลี่ยนงาน” มาแล้วกว่า 20 อาชีพ ทั้งงานเลขานุการ, พนักงานขาย, งานในร้านอาหาร และงานแปลภาษา ทั้งยังรู้สึกว่า ตัวเองเป็น “แกะดำ” ในครอบครัว เพราะเรียนไม่เก่งเหมือนพ่อแม่ ที่เป็นอาจารย์สอนฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัย ได้ค้นอาชีพใหม่อย่างไม่คาดฝัน!!!

เธอเล่าว่า หลังจากประทับใจ เธอก็ได้พบว่า ที่อเมริกา การออกกำลังกายด้วยการเต้นระบำรูดเสา ก็กำลังเป็นที่นิยม นั่นยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่า หากเธอรู้จักนำท่าเต้นเหล่านั้นมาประยุกต์ ดัดแปลงดีๆ ให้เข้ากับวัฒนธรรมของสังคมจีน เธอก็น่าจะสร้างการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ขึ้นมาได้

“ชาวบ้านที่นี่ ไม่เคยเห็นการเต้นระบำรูดเสามาก่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่มีความคิดว่า มันเป็นการเต้นระบำโป๊ ที่มีการเปลื้องผ้า หรือ ผู้หญิงที่เต้นมักถูกมองไม่ดี ฉันรู้เลยว่า หากฉันสามารถทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจตั้งแต่แรกว่า นี่เป็นการเต้นออกกำลังที่ดี สนุก แล้วยังได้สังคม ผู้คนไม่ใช่แค่จะเปิดใจยอมรับ แต่พวกเขาต้องชอบเลยล่ะ”

โหลว หลาน เล่าว่า เธอลงทุนเปิดโรงเรียนสอนเต้นระบำรูดเสา โลลาน โพล แด๊นซิ่ง สคูล ที่กรุงปักกิ่ง ด้วยเงินเก็บที่มีไม่ถึง 3,000 ดอลลาร์ (ราว 100,800 บาท) โดยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แนวไลฟ์ สไตล์ ฉบับหนึ่ง และโทรศัพท์บอกเพื่อน ให้เพื่อนๆ ช่วยกันบอกต่อปากต่อปาก โรงเรียนของเธอก็เริ่มมีสาวๆ สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากนั้น ก็มีนิตยสารหลายฉบับติดต่อขอสัมภาษณ์ กระทั่งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เธอและนักเรียนก็ได้รับเชิญไปเต้นโชว์ที่รายการทอล์ค โชว์ ของสถานีโทรทัศน์หูหนาน ยิ่งส่งผลให้ โพล แด๊นซิ่ง กลายเป็นที่รู้จักในจีน มีฟิตเนสและโรงเรียนสอนเต้นออกกำลังกายหลายแห่งเริ่มเปิดสอนโพล แด๊นซิ่ง สำหรับโรงเรียนของโหลว หลาน ก็มี 5 สาขาแล้วตอนนี้ โดยผู้มาเรียนส่วนใหญ่มักเป็นสาวๆ ที่มีมุมมอง และค่านิยมต่างจากคนรุ่นพ่อแม่ เพราะโหลว หลาน ก็ยอมรับว่า ยังมีคนที่รับไม่ได้กับการเต้นออกกำลังกายแบบนี้ ขณะที่เธอเองก็เคยได้รับโทรศัพท์มาตำหนิว่า สิ่งที่เธอสอน เป็นการเต้นที่ไม่เหมาะกับผู้หญิงจีน ที่ควรรักษาคุณสมบัติแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย และเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์